จากข้อมูล “United World Population Aging” ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ “สังคมสูงวัย” อย่างสมบูรณ์เมื่อมีประชากรอายุ 60 ปี เนื่องจากเริ่มมีปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับอวัยวะต่างๆทำงานช้ากว่าและบางคนอาจช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
ซึ่งในลักษณะแบบนี้เรียกว่า “ผู้ป่วยติดเตียง” ดังนั้นการดูแลผู้สูงอายุที่ติดเตียงจำเป็นต้องดูแลและทำความเข้าใจอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในการดูแลรักษา อยากให้ผู้อ่านมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับผู้ป่วยติดเตียงเสียก่อนเมื่อสุขภาพร่างกายอยู่ในภาวะทรุดโทรมต้องนอนซม ซึ่งมีผู้ป่วยที่เคลื่อนไหวได้และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ พวกเขาต้องการคนช่วยเหลือตลอดเวลา
มิฉะนั้นอาจส่งผลให้กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงจนทำให้กล้ามเนื้อลีบและกลายเป็นผู้สูงอายุติดเตียงในที่สุด หลังจากนั้นไม่นานผู้ป่วยจะเกิดภาวะแทรกซ้อนเช่นการติดเชื้อทางเดินหายใจ ระบบทางเดินปัสสาวะขาดสารอาหารอย่างรุนแรงการติดเชื้อทางเดินหายใจหรือแผลกดทับ
ดังนั้นหากครอบครัวมีผู้ป่วยติดเตียงควรรู้วิธีดูแลผู้ป่วยอย่างถูกต้องเนื่องจากต้องนอนท่าเดิมหลายชั่วโมงหรือให้ความรู้ด้านโภชนาการของผู้ป่วยติดเตียง และการดูแลทำความสะอาดที่อาจส่งผลต่อการติดเชื้อ อย่าลืมใส่ใจคุณภาพอารมณ์และจิตใจของผู้ป่วยเพราะความกดดันที่สะสมคือความเครียดที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้เหมือนเดิม
ในบทความนี้จะนำเสนอเทคนิคดีๆ ในการดูแลผู้ป่วยติดเตียงอย่างถูกต้องและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นกับผู้ป่วยด้วย 4 ปัจจัยเสี่ยงที่ควรระวังเมื่อผู้สูงอายุนอนติดเตียงกันนะครับ
แผลกดทับเกิดจากการที่ผู้ป่วยนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลานาน ทำให้บริเวณของปุ่มกระดูกขาดเลือดเติบโตขึ้นที่ผิวหนังทำให้เซลล์บางส่วนตายและแผลยังคงลุกลาม หากไม่พลิกตัวผู้ป่วยอาจเกิดขึ้นได้หลายจุดเช่นท้ายทอยสะบักข้อศอกสะโพกก้นกบส้นเท้าเป็นต้น ในระยะแรกอาจเกิดการลอกเฉพาะที่ผิวหนังแต่เมื่อเวลาผ่านไปอาจหลุดลอกไปถึงชั้นกล้ามเนื้อหรืออาจถึงกระดูกและเมื่อร่างกายขาดแคลน ผิวหนังซึ่งทำหน้าที่ปกปิดมีโอกาสในการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น
วิธีการป้องกันและหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเตียงกดทับเมื่อผู้ป่วยขยับตัวเองไม่ได้ ดังนั้นหน้าที่ของผู้ดูแลควรพลิกตัวผู้ป่วยทุกๆ 2 ชั่วโมงด้วยท่านอนใหม่ เช่น นอนหงายและตะแคง หลีกเลี่ยงรอยยับของเสื้อผ้า โดยการประเมินสภาพของผิวหนังเพื่อทำความสะอาด ควรมีอุปกรณ์เสริมเพื่อลดการกดทับเช่นฟองน้ำที่นอนเป่าลมหมอนผ้านุ่มเจลหนุนปุ่มกระดูก
อาการกลืนลำบากเกิดจากความผิดปกติของช่องปากและคอหอยในผู้สูงอายุทำให้เสี่ยงต่อการสำลักขณะรับประทานอาหารหรืออาจนำไปสู่ปอดบวมหรือติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นผู้ดูแลควรปรับเตียงให้ได้ประมาณ 45-90 องศาและพยายามจับผู้ป่วยนั่งบนเตียง โดยใช้หมอนช่วยดันให้ผู้ป่วยกลับสู่สมดุลจะดีที่สุด
ดังนั้นสำหรับใครที่ต้องดูแลผู้ป่วยแนะนำให้ปรับการรับประทานอาหาร เป็นวิธีการรักษาที่สำคัญเช่นให้อาหารอ่อน ๆ ไม่เหลวเกินไปสังเกตว่าผู้ป่วยยังกลืนได้บ้าง อย่าเงยคอไปข้างหลัง หยุดให้อาหารทันทีหากเกิดการสำลัก
– ทำความสะอาดร่างกายและสิ่งขับถ่ายของผู้ป่วยเป็นประจำ ควรเปลี่ยนสายสวนปัสสาวะให้กับผู้ป่วยทุก 2-4 สัปดาห์และทำความสะอาดสายสวนด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อเข้าสู่ร่างกาย หากพบว่าปัสสาวะของผู้ป่วยขุ่นข้นหรือปัสสาวะไม่ออกควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดทันที
– ดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ป่วยอย่างสม่ำเสมอเพื่อช่วยลดการสะสมของแบคทีเรียและลดความเสี่ยงต่อการเป็นปอดบวมจากการสำลัก ผู้ดูแลสามารถใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์เพื่อลดอาการปากแห้ง
– จัดสภาพแวดล้อมของห้องนอนให้เหมาะสมกับการใช้งานเสมอ สะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยในกรณีฉุกเฉินและเอนตัวและระบายอากาศอยู่เสมอ
ปัญหาทางจิตใจเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยติดเตียงที่ผู้ดูแลควรศึกษาเนื่องจากความเสื่อมของร่างกายไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ทำให้ผู้ป่วยเบื่อหน่ายและไม่มีความสุข ดังนั้นผู้ดูแลควรหากิจกรรมผ่อนคลายที่สามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีสุขภาพจิตที่ดี
อย่างไรก็ตามหากคุณศึกษาและเข้าใจสาระสำคัญของการดูแลผู้ป่วยติดเตียงทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุด พวกเขาจะไม่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับมากนักช่วยลดการติดเชื้อได้รับสารอาหารครบถ้วนและถูกขับถ่ายออกมาอย่างถูกสุขลักษณะ นอกจากนี้ยังช่วยลดภาระของผู้ดูแลให้น้อยที่สุดอีกด้วยนะครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.paramountbed.co.th/